ห้องกว้าง สวย จอใหญ่ โรงแรมแกรนด์ริชมอนต์ตอบโจทย์

ใจของดาเล็งไว้ตั้งแต่แรกเลยว่าอยากได้โรงแรมที่มีจอ LED ค่ะ เพราะเราอยากจัดงานโดยที่ไม่ต้องใช้ดอกไม้เยอะ และอยากนำเสนอคอนเท้นต์อย่างพวกแบ็คกราวด์ พรีเซ้นเทชั่น หรือพวกเกมผ่านจอในงานค่ะ 

พอดีกับที่ดาอาศัยอยู่แถวนนทบุรี คุณพ่อเองก็แนะนำโรงแรมแกรนด์ริชมอนต์มาเลยเข้าไปดู ซึ่งก็รู้สึกโอเคเลยค่ะ ดาชอบความสูงของเพดานห้องที่นี่ค่ะ แล้วตัวห้องก็กว้าง รู้สึกว่าแขกน่าจะไม่อึดอัด เพราะแขกดาเยอะมาก ตอนแรกก็คาดการณ์ไว้ราวๆ 300 คน ไปๆ มาๆ กลายเป็น 450 คน แอบตกใจเหมือนกันค่ะ (หัวเราะ)

แต่พวกเราไม่ได้ตัดสินใจทันทีนะคะ เราไปดูมาหลายๆ ที่แล้วถึงค่อยๆ เอามาเทียบกันค่ะ ซึ่งพอสรุปออกมาแล้วก็เลือกเป็นที่นี่เพราะดาชอบที่จอใหญ่ ห้องกว้าง โดยเฉพาะเพดานที่สูง ที่สำคัญคือพอเทียบกับราคาแล้วดาก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลดี อยู่ในคอร์สที่โอเคเลยค่ะ 

Paris in the Rain อยู่ที่ไหนก็อบอุ่นเมื่อมีคุณ

เราได้ไอเดียธีมมาจากเพลง Paris in the Rain ค่ะ ตัวดากับแฟนเคยไปเที่ยวปารีสด้วยกัน แล้วรู้สึกว่า Feel มันเหมือนกับในเพลงเลย ซึ่งชื่อในเพลงนี้มาจากวลีที่แปลว่า ‘ปาร์รีสยามฝนตกก็ยังคงโรแมนติก’ และเนื้อเพลงก็มีความหมายประมาณว่า “อยู่ที่ไหนกับคุณก็เหมือนอยู่ใน Paris in the Rain” พวกเราก็เลยเอาแรงบันดาลใจมาจากตรงนั้นค่ะ

ตัว Backdrop กับแกลลอรี่เราเอามาจากความชอบในพิพิธภัณฑ์ค่ะ ดาชอบพวกการจัดโซนพวกนั้น ตัวแกลลอรี่ก็เลยออกแบบให้ทำเหมือนกล่องขนาดใหญ่ขึ้นมาเหมือนเป็นผนังกั้น ตอนที่แขกเดินเข้ามาก็จะเจอกับป้าย MUSEE DU KUDA ด้านหน้า แล้วก็จะมีสายกั้นเหมือนให้ต่อแถวเข้าไปข้างใน ซึ่งพอเดินเข้ามาก็จะมีรูปของพวกเราแขวนอยู่ ด้านล่างก็จะมีคำอธิบายใต้ภาพเหมือนเวลาเราไปดูงานศิลปะ และบ่าวสาวก็จะอยู่ข้างในค่ะเราจะถ่ายรูปกันตรงนั้น

ในการวางธีมสีดาให้เพื่อนๆ ใส่ชุดสีออกโทนแดงไวน์ สีเหลืองมัสตาร์ด สีคราม สีกรม เพราะดารู้สึกว่าปารีสในเวลาปกตินั้นเต็มไปด้วยสีสันสดใส แต่เราจะวางสีน้ำเงินเป็นหลักโดยใช้ฉากพื้นหลังแกลลอรี่เป็นสีน้ำเงินแทนภาพของเวลาฝนตก เอามาตัดกับสีของชุดเพื่อนๆ เป็นความรู้สึกเย็นๆ ที่มีความละมุนและอบอุ่น ก็จะตรงกับคอนเซ็ปต์ปารีสในวันฝนตกค่ะ

จ่ายตั๋วอวยพรเข้างานแต่ง กิมมิกเล็กๆ ที่น่ารัก

ในช่วงก่อนเปิดตัวบ่าวสาว ระหว่างที่เรากำลังถ่ายรูป เราก็เปิดวีดีโองานเช้าให้แขกชมไปก่อนค่ะ จากนั้นก็เปิดพรีเซ้นต์และนับถอยหลังเวลาเปิดตัวบ่าวสาว ซึ่งคู่ของดาไม่ได้ให้เพื่อนมาโปรยดอกไม้แต่ใช้วิธีเปิดเครื่องทำ Dry ice แล้วเดินเข้ามาด้วยกันค่ะ หลังจากนั้นเราก็มีการพูดคุยกัน ตัดเค้ก โยนดอกไม้ แล้วก็มีเล่นเกม Kahoot กันค่ะ และในตอนสุดท้ายเลย เราจะจับฉลากจากกล่องคำอวยพรที่แขกหย่อนไว้ ถ้าจับได้ของใครก็ให้ขึ้นมาบนเวทีเพื่อมาอวยพรและรับของที่ระลึกไปค่ะ 

ซึ่งตัวฉลากที่เราใช้จับนี้ก็มาจากการ์ดเชิญของพวกเราเองค่ะ พวกเราออกแบบการ์ดให้มีความรู้สึกเหมือนตั๋วเข้างาน เหมือนเวลาที่เราไปพิพิธภัณฑ์แล้วต้องจ่ายตั๋วเข้าแบบนั้นค่ะ ซึ่งในการ์ดเชิญเราจะทำรอยปุไว้ให้ดึงออกจากกันได้ ก็จะให้แขกเขียนคำอวยพรแล้วหย่อนใส่กล่องไว้ พอถึงเวลาก็เอามาจับฉลากค่ะ แต่เราก็มีสมุดอวยพรไว้ให้แขกด้วยนะคะ เผื่อใครอยากเขียนค่ะ 

แสงสีจัดเต็มจนอยากต่อปาร์ตี้กันยาวๆ 

ช่วง After Party เราสนุกกันมากๆ เลยค่ะ เริ่มกันตั้งแต่สามทุ่มกว่าๆ เรามีทั้งวงดนตรีสดและกิจกรรมดวลเหล้าของเพื่อนๆ ซึ่งเพื่อนๆ ก็ทำภาพของแต่ละคนที่จะขึ้นแข่งมาขึ้นจอ LED ใหญ่ในห้อง ทำเหมือนเป็นภาพปก Battle กันค่ะ(หัวเราะ) พวกเราอยู่กันยาวๆ จนถึงตี 1 อยากขอต่อไปถึงตี 2 เลยค่ะ แอบเสียดายที่มีคิวใช้ห้องรอต่อ แต่สนุกมากจริงๆ ค่ะ แสงสีสัน เครื่องเสียง ความสนุกสนานคือมาเต็มจริงๆ ค่ะ

ทีมงานน่ารัก รับประกันความประทับใจ

ตั้งแต่จัดงานมาจนจบเรารู้สึกประทับใจทุกอย่างเลยจริงๆ ค่ะ อาจจะมีตื่นเต้นตอนช่วงเปิดตัวเพราะรู้สึกเกร็งกับการที่ทุกคนมองมาที่เรา แต่ก็ผ่านมากได้ค่ะ ส่วนเซลล์คุณนิวคือรู้สึกว่าเซอร์วิสดีมาก ทีมอาหารคนก็ชมว่าอร่อย ทีมเอ็นจิเนียร์ของโรงแรมคนก็ชมว่าน่ารัก โดยรวมคือชอบมากเลยค่ะ

คำแนะนำสำหรับบ่าวสาว

1.การแพลนงานเป็นสิ่งสำคัญ : ถ้าเรามีเวลาเตรียมการ อยากให้ลองรวบรวมสิ่งที่เราชอบและอยากจะทำมาค่ะ แพลนวางไว้ว่าอยากจะทำอะไรบ้าง จัดวางตกแต่งแบบไหน พอไปดูสถานที่เราก็จะสามารถค่อยๆ พิจารณาได้ว่าที่ไหนเหมาะกับเรา สามารถทำตาม
คอนเซ็ปต์ที่วางไว้ได้ไหม แต่ถ้ามีผู้ใหญ่มาด้วยก็อาจจะต้องทำกันคนละครึ่งทางค่ะ ดาคิดว่ามันก็เป็นความสุขและความสนุกในการวางแผนอีกแบบค่ะ อย่างคู่เรา ด้วยเรามองว่าเป็นงานครั้งเดียวเลยจัดให้เต็มที่ไปเลย ตัวดาวางคอนเซ็ปต์และการวางแนวทางไว้อยู่แล้ว ก็เหลือแค่มาดูสถานที่ว่าซัพพอร์ตกับสิ่งที่เราต้องการหรือไม่แค่นั้นค่ะ

2.เลือกของที่ชอบให้เหมาะสมกับงาน : การเลือกสิ่งต่างๆ ที่ใช้สำหรับงานแต่งเราดูความชอบและความเหมาะสม อย่างเสื้อผ้าเราก็ดูทั้งเรื่องของคนนิยมและความเหมาะสมกับตัวเรา ช่างภาพก็ดูพวก Mood & Tone ว่าถูกใจเราไหม อยากได้แบบไหน ดูว่าภาพนิ่งและภาพวีดีโอเราอยากได้ฟีลแบบไหน แบบคู่เราก็จ้างแยกไปเลยเพราะช่างที่ถ่ายมีความถนัดและโทนที่ต่างกันค่ะ